วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 2
วันที่ 22 มกราคม 2561



บรรยากาศในห้องเรียน
วันนี้เริ่มต้นการเรียนการสอนด้วยการนำเสนองาน
กลุ่มที่ 1 
เรื่องพัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย


  • มาตรฐาน = เกณฑ์ขั้นต่ำ
  • สภาพอันพึงประสงค์ = ความคาดหวังที่ให้เด็กทำได้
  • พัฒนาการ หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านวุฒิภาวะของอวัยวะระบบต่างๆและตัวบุคคล ทำให้เพิ่ม ความสามารถของบุคคลให้ทำหน้าที่ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำสิ่งที่ยากและซับซ้อนยิ่งขึ้นได้ ตลอดจนการเพิ่ม ทักษะใหม่และความสามารถในการปรับตัวในภาวะใหม่


พัฒนาการของเด็ก จะแบ่งออกเป็น 4 ด้าน
1. พัฒนาการด้านร่างกาย
2. พัฒนาการด้านสติปัญญา
3. พัฒนาการด้านอารมณ์
4. พัฒนาการด้านสังคม
พฤติกรรมและทักษะชีวิตของมนุษย์ได้จากการเรียนรู้และการสะสมประสบการณ์ การเรียนรู้ทักษะบางอย่างจะง่ายและ ประสบความสำเร็จในช่วงเวลาหนึ่งมากกว่าอีกเวลาหนึ่งและสังคมจะคาดหวังให้เด็กแต่ละคนทำพฤติกรรมที่เหมาะสมให้ได้ ในแต่ละช่วงอายุของบุคคล
พัฒนาการด้านร่างกาย มี 2 มาตรฐาน
     มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
     มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
 พัฒนาการด้านอารมณ์จิตใจ มี 3 มาตรฐานคือ
     มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
     มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
     มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
พัฒนาการด้านสังคม มี 3 มาตรฐานคือ
     มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
     มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
     มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น  ประมุข
พัฒนาการด้านสติปัญญา มี 4 มาตรฐานคือ
     มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
     มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้
     มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
     มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย

ความแตกต่างระหว่างหลักสูตรปี 2546 และ หลักสูตรปี 2560

- เพิ่มเติมตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์รายอายุ"เพื่อให้มีเนื้อหาที่ชัดเจน สถานศึกษาสามารถนำไปออกแบบ และจัดหลักสูตรสถานศึกษาของตนเอง ครูสามารถนำไปวางแผนการพัฒนาผู้เรียนรายอายุได้ง่ายขึ้น
เดิมการประสานงานพัฒนาเด็กปฐมวัย ในส่วนของการพัฒนาทักษะกระบวนการ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ระหว่างหน่วยงาน สพฐ. กับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) นั้นต่างคนต่างทำ แต่ในหลักสูตรใหม่จะทำงานร่วมกันโดยคณะทำงานของ สสวท.เป็นผู้พัฒนาเนื้อหาที่ง่ายสำหรับเด็ก และชัดเจนสำหรับครูนำสู่การปฏิบัติ
จุดเด่นเพิ่มเติมของการพัฒนา ด้านร่างกาย เพิ่มการพัฒนาการตระหนักรู้ เกี่ยวกับร่างกายตนเอง (self-awareness) คือการเคลื่อนไหวโดยควบคุมตนเองไปในทิศทางระดับและพื้นที่, ด้านอารมณ์จิตใจ เพิ่มอัตลักษณ์เฉพาะตน และเชื่อว่าตนเองมีความสามารถและการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น, ด้านสังคม เพิ่มการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่น และความเป็นไทย การมีวินัย การยอมรับในความเหมือนและแตกต่าง ระหว่างบุคคล และ ด้านสติปัญญา เพิ่มการพัฒนาความสามารถ
  • การคิดรวบยอด
  • การคิดเชิงเหตุผล 
  • การคิดแก้ปัญหา 
  • ตัดสินใจการใช้ภาษาในการเรียนรู้
ทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพีย์เจีย์ (Piaget) ( โครงสร้างสมองสมดุล )
พัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้นตามธรรมชาติไม่ควรข้ามขั้น
  1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น
  2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
    -- ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก

    -- ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อนการคิดหาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก
  3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้ สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่างๆ โดยที่เด็กเข้าใจว่าของแข็งหรือของเหลวจำนวนหนึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปร่างไปก็ยังมีน้ำหนัก หรือปริมาตรเท่าเดิม สามารถที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ส่วนรวม ลักษณะเด่นของเด็กวัยนี้คือ ความสามารถในการคิดย้อนกลับ นอกจากนั้นความสามารถในการจำของเด็กในช่วงนี้มีประสิทธิภาพขึ้น สามารถจัดกลุ่มหรือจัดการได้อย่างสมบูรณ์ สามารถสนทนากับบุคคลอื่นและเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดี
  • ขั้นประสาทสัมผัส (เด็กจะเก็บข้อมูล)
  • ขั้นคิดหยั่งรู้ (ขั้นนี้ทำให้เด็กมีเหตุผลมากขึ้น)
  • ขั้นอนุรักษย์ (คิดโดยใช้เหตุผล)
เพียเจย์ เชื่อว่า
- เด็กเกิดการเรียนรู้เมื่อเด็กมีปฎิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
- เด็กเกิดการเรียนรู้จากการที่เด็กถ่ายทอดทางวัฒนธรรม


ทฤษฏีพัฒนาการทางร่างกายของอาร์โนลด์ เกเซลล์ (Arnold Gesell) 

ว่าวุฒิภาวะ (maturation) เพื่อหมายถึงการเปลี่ยนแปลง
รูปแบบ (pattern) 
รูปร่าง (shape)

พฤติกรรมที่เป็นผลมาจากยีนส์ (genes) หรือความพร้อมของกล้ามเนื้อและระบบประสาทจะปรากฏเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าทางพันธุกรรม ทักษะและพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันของเด็กแต่ละคนจะปรากฏในเวลาไล่เลี่ยกัน เกเซลล์ ใช้คำ ว่าวงจรของพฤติกรรม 

พัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1. พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว (gross motor development)
เป็นความสามารถของร่างกายที่ครอบคลุมถึงการบังคับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและความ สัมพันธ์ทางด้านการเคลื่อนไหวทั้งหมด

2. พฤติกรรมด้านการปรับตัว(fine motor or adaptive development)
 เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่างระบบการเคลื่อนไหวกับระบบความรู้สึก เช่น การประสานงานระหว่างตากับมือ 

3. พฤติกรรมทางด้านภาษา(language development)
ประกอบด้วยวิธีสื่อสารทุกชนิด เช่น การแสดงออกทาง หน้าตา ท่าทาง การเคลื่อนไหวท่า ทางของร่างกาย ความสามารถในการเปล่งเสียง และภาษาพูดการเข้าใจในการสื่อสารกับผู้อื่น

4. พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม (personal social development)
เป็นความสามารถในการปรับตัวของเด็ก ระหว่างบุคคลกับบุคคลและบุคคลกับกลุ่มภายใต้ภาวะแวดล้อมและสภาพความเป็นจริงนับเป็นการปรับตัวที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโตของสมองและระบบการเคลื่อนไหวประกอบกัน 





กลุ่มที่ 2
เรื่อง ความสนใจความต้องการของเด็กปฐมวัย

  • ความต้องการมาจากพัฒนาการของเด็ก
  • การอ่าน การเขียน = สิ่งที่เด็กอยากที่จะเรียนรู้
  • ในช่วงวัย 2-5 ปี เป็นวัยทองของภาษา
การจัดกิกรรมเพื่อส่งเสริมเด็กปฐมวัย
กิจกรรมเสรีเป็นกิจกรรม
ส่งเสริมให้เด็กเล่นอย่างอิสระ โดยมีจุดมุ่งหมายส่งเสริมให้เด็กคิดตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการวางแผนการเล่นของตนเอง ในขณะเดียวกัน เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้การเข้าสังคมด้วยการเล่นกับเพื่อนและผู้อื่นโดยเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกเล่นอย่างอิสระจากของเล่นตามมุมประสบการณ์หรือศูนย์การเรียนที่จัดไว้ในห้องเรียน เช่น มุมบล็อก มุมหนังสือ มุมธรรมชาติ มุมบ้าน มุมร้านค้า เป็นต้น


  1. ด้านร่างกาย เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่
  2. ด้านอารมณ์-จิตใจ เด็กจะร่าเริงเบิกบาน มีอิสระในการเลือกเล่นสิ่งที่ตนสนใจ เด็กได้ระบายอารมณ์และความรู้สึกขณะเล่น ผ่อนคลายความตึงเครียด
  3. ด้านสังคม เด็กรู้จักตนเอง รู้จักบุคคลรอบด้าน (จากการเล่นสมมุติ) รู้จักเพื่อนที่เล่นด้วย ขณะเล่นเด็กได้มีโอกาสรู้จักบทบาทของตนเองและผู้อื่น รู้จักการผ่อนปรนและรอคอย อดทนต่อความไม่สมหวัง รู้จักการแบ่งปัน รู้จักการร่วมมือกับคนอื่น เป็นต้น
  4. ด้านสติปัญญา เด็กได้หัดใช้ความคิด ตัดสินใจแก้ปัญหา ได้มีโอกาสสืบค้นหาคำตอบหรือบางครั้งการเล่นทำให้เด็กได้สร้างความรู้ โดยไม่ต้องจัดกิจกรรมอย่างเป็นทางการ เช่น การที่เด็กเล่นน้ำ เด็กกรอกน้ำใส่ขวด เด็กจะได้เห็นน้ำไหลผ่านปากขวดไปอย่างง่ายดาย แตกต่างจากการเอาก้อนหินใส่ขวดและหากก้อนหินก้อนใหญ่กว่าปากขวด ก้อนหินจะไม่ผ่านปากขวดไป เด็กได้เห็นน้ำแปรเปลี่ยนรูปร่างเช่นเดียวกับขวด เห็นมือของเขาเปียกน้ำ แต่สักครู่มือก็แห้งได้ น้ำหายไปไหน เป็นต้น การเล่นเสรีจึงเป็นส่วนการเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็ก
สำหรับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ(Integrated Management)
หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามความสนใจ ความสามารถ โดยเชื่อมโยงเนื้อหาสาระของศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สามรถนำความรู้ ทักษะ และเจตคติไปสร้างงาน แก้ปัญหาและใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยตนเอง

ความต้องการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย 

ความต้องการทางด้านร่างกาย
-การออกกำลังกายแขน ขา
-การพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ ประมาณ 10  12 ชั่ว โมง
-การช่วยเหลือตนเองการทำอะไรด้วนตนเองในชีวิตประจำวัน

ความต้องการทางอารมณ์
-ความรัก ความใกล้ชิด ความเอาใจใส่
-ต้องการที่จะระบายอารมณ์อย่างอิสระและเปิดเผย

ความต้องการทางสังคม
-ต้องการเล่น การได้แสดงออกให้เป็นที่ยอมรับ
-การเล่นแบบคู่ขนาน
-การมีปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่น

 ความต้องการทางสติปัญญา
-ต้องการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือเพื่อสนองความต้องการตามธรรมชาติ 





กลุ่มที่ 3
เรื่อง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย


ทฤษฎีการเรียนรู้ของวีก๊อทสกี้

แนวคิดของไวก็อตสกี้เรื่องพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ และการเสริมต่อการเรียนรู้ พื้นที่รอยต่อพัฒนาการเป็นระยะห่างระหว่างระดับพัฒนาการที่เป็นจริงกับระดับพัฒนาการที่สามารถเป็นไปได้ 

พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ (Zone of Proximal Development)  
ความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้และพัฒนาการ เป็นสภาวะที่เด็กต้องเจอกับปัญหา ไม่สามารถคิดหรือแก้ปัญาหาโดยลำพัง แต่หากเด็กได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ หีือผู้ที่มีประสบการณ์นั้น เด็กก็จะสามารถแก้ปัญหาและเกิดการเรียนรู้ได้

ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูเนอร์
  1. ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ 
  2. ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้
  3. ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
จิตวิทยาการเรียนรู้ของวัตสัน

ทฤษฎีของเขามีลักษณะในการอธิบายเรื่องการเกิดอารมณ์จากการวางเงื่อนไข(Conditioned emotion)
1.พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้ โดยการควบคุมสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติและการเรียนรู้จะคงทนถาวรหากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กันนั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ
2. เมื่อสามารถทำให้เกิดพฤติกรรมใด ๆได้ก็สามารถลดพฤติกรรมนั้นให้หายไปได้
จิตวิทยาการเรียนรู้ของแบนดูร่า

บันดูรามีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบ เนื่องจากมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ
บันดูราเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมาก เป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต 




กลุ่มที่ 4
เรื่อง การสอนแบบโครงการ ( project approach )
การสอนแบบโครงการเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เด็กสนใจจะเรียนรู้อย่างลุ่มลึกด้วยกระบวนการแก้ปัญหา
มีทั้งหมด 3 ระยะ
1. ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กจะร่วมกันระดมความคิดเรื่องที่ตนสนใจ
2. ระยะที่ 2 รวบรวมข้อมูลเรื่องที่อยากรู้  เช่น ศึกษาโดยการนำวิทยากรมา ไปห้องสมุด หรือ ทัศนศึกษา 
3. ระยะที่ 3 สรุปโครงการ นำเสนอความรู้เรื่องที่เรียน โดยเด็กแต่ละคนมีหน้าที่ที่รับผิดชอบ
ประโยชน์การสอนแบบโครงการ  
  • 1.เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง 
  • 2.ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
  • 3.เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเองในงานและกิจกรรมที่ทำ
  • 4.เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับในความต้องการของเด็ก
  • 5.เด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง อย่างมีความสุขเด็ก รู้จักประยุกต์ใช้ความรู้
  • 6.ส่งเสริมให้เด็กมีวิธีการทำงานอย่างมีแบบแผน
  • 7.สามารถนำรูปแบบการสืบค้นความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง
  • 8.สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและครอบครัว เนื่องจากการสอนแบบโครงการ พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องร่วมมือกับครูสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กทุกรูปแบบ
  • เกร็ดความรู้
  • สิ่งที่เด็กวาดให้เชื่อมโยงกับสิ่งที่คิดเป็นภาพ ถ้าประสบการณ์เดิมเป็นไงก็จะออกมามเป็นภาพ
  • ตัวอย่างการสอนแบบโครงการ(project approach )
  • โรงเรียนพระยาประยาประเสริฐกระจ่างสิงหเสนี ชั้นอนุบาล 3/3
  • เรื่อง มหัศจรรย์พันธ์เห็ด











คำศัพท์ ENG
วุฒิภาวะ     Maturation
รูปแบบ      Pattern 
รูปร่าง      Shape
การอนุรักษ์    Conservation  
ความแตกต่าง  Differences 
การสอนแบบโครงการ  Project approach
เห็ด             Mushroom
เหตุผล Reason
พื้นที่รอยต่อของพัฒนาการ Zone of Proximal Development

การนำไปใช้
นำแนวคิด ทฤษฏีต่างๆที่เพื่อนๆนำเสนอและที่คุณครูได้อธิบายไปใช้ปรธโยชน์ในการเรียนการสอนและเป็นแนวทางในกรนำเดิดการต่างๆ เพื่อไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม

การรประเมินผล
ประเมินเพื่อน : เพื่อนเข้าห้องตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย มีคามรับผิดชอบ และนำเสนอออกมาได้ดี
ประเมินตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟังคุณครูและเพื่อนๆ อธิบายและนำเสนอ
ประเมินอาจารย์ : มีความพร้อมในการเรียนการสอน เข้าตรงเวลา และชี้แนะแนวทางในการาเรียนการสอน มีการาอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจมากยิ่งขึ้น




  



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น