วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 7
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561



ไม่มีการเรียนการสอนสัปดาห์สอบกลางภาค




วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 6
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561




บรรยากาศ
 วันนี้อาจารย์มอบหมายงานให้ทำ Mind Mapping ของกลุ่มตัวเอง ลงในกระดาษ A4
- Mind Mapping  การบูรณาการสาระต่างๆ
- Mind Mapping กิจกรรม 6 กิจกรรมหลัก











คำศัพท์ ENG 

วิชาคณิตศาสตร์             mathematics

 วิชาศิลปะ                      art

วิชาวิทยาศาสตร์            science

วิชาสุขศึกษา                 health and hygeine

วิชาพลศึกษา                PE / physical education





การนำไปใช้

รู้จักการคิดวิเคราะห์ในการนำวิชาต่างๆมาบูรณาการในแตะลหน่วยการเรียนรู้ และนำเอาองค์ความรู้ต่างๆไปจัดทำแผนการเรียนการสอนในเด็กปฐมวัย





การปรเมินผล

ประเมินเพื่อน :   ทำงานที่ได้รับมอบหมาย

ประเมินตนเอง :  ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายและสรุปองค์ความรู้รวมทั้งนำคำแนะนำมาปรับปรุง

ประเมินอาจารย์ : อาจารย์มอบหมายชิ้นงาน ให้ศึกษาเพิ่มเติม






วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ครั้งที่ 5
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561



บรรยากาศในห้องเรียน

 วันนี้เริ่มการเรียนการสอนด้วการทำ Mind mapping การบูรณาการทักษะวิชาต่างๆ
กับ Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก โดยต้องดู กรอบมาตรฐานของเด็กปฐมวัย และ จัดให้เหมาะสมกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กแต่ละวัย

ตัวอย่าง Mind Mapping การบูรณาการสาระทักษะวิชาต่างๆ






Mind Mapping การบูรณาการทักษะวิชาต่างๆ (หน่วยแหล่งน้ำ )



Mind Mapping การบูรณาการทักษะวิชาต่างๆ (หน่วยไข่ )


Mind Mapping การบูรณาการทักษะวิชาต่างๆ (หน่วยผีเสื้อ )



 Mind Mapping การบูรณาการทักษะวิชาต่างๆ (หน่วยยานพาหนะ ) 



Mind Mapping การบูรณาการทักษะวิชาต่างๆ (หน่วยตัวเรา )


Mind Mapping การบูรณาการทักษะวิชาต่างๆ (หน่วยของเล่นของใช้ )


Mind Mapping การบูรณาการทักษะวิชาต่างๆ (หน่วยฝนจ๋า )



ตัวอย่าง Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก


 Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก( หน่วยแหล่งน้ำ )


Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก( หน่วยยานพาหนะ )


Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก( หน่วยผีเสือ )



Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก( หน่วยของเล่นของใช้ )


Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก( หน่วยไข่ )


Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก( หน่วยตัวเรา)


Mind Mapping 6 กิจกรรมหลัก( หน่วยฝนจ๋า )




คำศัพท์ ENG
วิชาคณิตศาสตร์             mathematics
 วิชาศิลปะ                      art
วิชาวิทยาศาสตร์            science
วิชาสุขศึกษา                 health and hygeine
วิชาพลศึกษา                PE / physical education


การนำไปใช้
รู้จักการคิดวิเคราะห์ในการนำวิชาต่างๆมาบูรณาการในแตะลหน่วยการเรียนรู้ และนำเอาองค์ความรู้ต่างๆไปจัดทำแผนการเรียนการสอนในเด็กปฐมวัย


การปรเมินผล
ประเมินเพื่อน :   มีการแสดงความคิดเห็นพื่อนช่วยกันคิดในแต่ละหัวข้ที่แต่ละกลุ่มได้รับ
ประเมินตนเอง :  แต่งกายเรียบร้อยมาตรงเวลาตั้งใจทำงานที่ได้รบมอบหมาย
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์มีการแนะนำชี้แนะ ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อที่จะนักศึกษาเห็นและนำไปปรับใช้





ครั้งที่  4

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560




บรรยายในห้องเรียน
    นำสนองานต่อ
 มอนเตสซอรี่

ที่มา
การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เกิดจากแนวคิดของมาเรีย มอนเตสซอรี่ (Maria Montessori) แพทย์หญิงชาวอิตาลีที่มีความเชื่อว่า “การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้น ไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรม ชาติของเขา”

การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่คืออะไร ?
  การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้สำหรับเด็ก โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน และเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้เสรีภาพแก่เด็ก ให้คำปรึกษาและกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ให้ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อม โดยครูคำนึง ถึงความสนใจ ความต้องการและความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ของเด็กและยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย การจัดการสอนแบบมอนเตสซอรี่จะคำนึงถึงเด็กเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ จัดสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ให้เด็กได้ฝึกทักษะกลไกผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า รู้จักควบคุมการทำงานด้วยตัวเอง เพราะมอนเตสซอรี่เชื่อว่า เด็กคือ ผู้รู้ความต้องการของตนเองและมีความสามารถที่จะซึมซับการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมได้ หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้านคือ

1.ด้านทักษะกลไก (Motor Education) หรือกลุ่มประสบการณ์ชีวิต มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการดูแลและจัดการสิ่งแวดล้อม การทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ ความรับผิดชอบและการประสานสัมพันธ์ให้สมดุล เด็กจะทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของชีวิตประจำวัน การดูแลตนเอง การจัดการเกี่ยวกับของใช้ในบ้าน เช่น การตักน้ำ การตวงข้าว การขัดโต๊ะไม้ การเย็บปักร้อย การรูดซิป การพับและเก็บผ้าห่ม หรือมารยาทในการรับประทานอาหารเป็นต้น
2.ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses) มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการสังเกต การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเกี่ยวกับมิติ รูปทรง ปริมาตรของแข็ง ของทึบ อุณหภูมิ เด็กจะได้รู้จักทรงกระบอก ลูกบาศก์ ปริซึม แขนงไม้ ชุดรูปทรงเรขาคณิต บัตรประกอบแถบสี กระดานสัมผัส แผ่นไม้ แท่งรูปทรงเรขาคณิต กิจกรรมที่จัดให้เด็กปฏิบัติผ่านการเล่น เช่น หอคอยสีชมพู แผ่นไม้สีต่างๆ เศษผ้าสีต่างๆ รูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ รูปทรงกระบอก ระฆัง กล่อง และขวดบรรจุของมีกลิ่น แท่งไม้สีแดงและแท่นวางเป็นขั้นบันได ถุงที่ซ่อนสิ่งลึกลับ เป็นต้น


3.ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing andArithmetic) หรือกลุ่มวิชา การ มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมเด็กเข้าสู่ระดับประถมศึกษา เตรียมตัวด้านการอ่านการเขียนโดยธรรมชาติ การประสมคำ คณิตศาสตร์ การศึกษาทางพฤกษศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การประพันธ์เพลง การเคลื่อนไหวมือ เด็กจะเรียนเกี่ยวกับตัวเลข กล่องชุดอักษร ชุดแผนที่ เครื่องมือ โน้ตดนตรี กล่องและแท่งสี อักษรกระดาษทราย แผ่นโลหะชุดรูปทรงเรขาคณิต ชุดแต่งกาย เป็นต้น กิจกรรมที่จัดสำหรับเด็ก เช่น การคูณ การหารยาว ทศนิยม การแนะนำเลขจำนวนเต็ม 10 ด้วยลูกปัด แบบฝึกหัดการบวกและการลบ การเรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ เรียนเรื่องส่วนที่เป็นพื้นดิน เช่น ที่ราบ ภูเขา เกาะ แหลม ฯลฯ ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ เช่น น้ำตก ทะเลสาบ อ่าว ช่องแคบ เป็นต้น


กิจกรรมการเรียนแบบมอนเตสซอรี 

 1. การศึกษาด้วยมือในห้องเรียนระบบมอนเตสซอรี เด็กจะแทบไม่ได้เรียนจากหนังสือ ในทุกๆ กรณี การเรียนแบบลงมือทำเอง หรือภาคปฏิบัติ หรือได้จับต้องหรือสัมผัสและใช้อุปกรณ์การเรียนต่างๆ ด้วยตัวเอง จะทำให้เด็กสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้อย่างลึกซึ่ง

 2. กิจกรรมที่เป็นไปโดยธรรมชาติ  เป็นเรื่องธรรมชาติปกติสำหรับเด็กที่จะพูด เคลื่อนไหว จับต้องสิ่งต่างๆ และค้นคว้าโลกที่อยู่รอบๆ ตัวเขา ตามสภาพแวดล้อมแบบมอนเตสซอรีอย่างแท้จริง จะส่งเสริมและปล่อยให้เด็กมีอิสระเสรีอย่างมีเหตุมีผล โดยไม่เกินขีดจำกัดของพฤฒิกรรมอันดีที่ควรมี โดยในเวลาส่วนใหญ่ เด็กจะใช้ไปกับการเลือกทำกิจกรรมที่ได้รับมอบแบบตัวต่อตัว ในเรื่องที่ตนเองสนใจ


  3. การเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น   ในสภาพแวดล้อมแบบมอนเตสซอรี เด็กไม่เพียงแต่สามารถเลือกประกอบกิจกรรมที่ครูหยิบยื่นให้ แต่ยังสามารถที่จะทำงานนั้นๆ ได้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานนับสัปดาห์ หรือเดือน จนกระทั่งงานนั้นๆ ดูเหมือนจะง่ายดายสำหรับเขา จนเขาสามารถสาธิตให้เด็กรุ่นเล็กกว่าทำได้ นี่เป็นหนึ่งในวิธีการที่ผู้ให้การศึกษาระบบมอนเตสซอรีใช้ในการวัดความสามารถของเด็ก ว่าถึงระดับความชำนาญในสิ่งนั้นๆ

 4. ประกอบกิจกรรมตามแรงจูงใจ   หนึ่งในแนวความคิดแบบมอนเตสซอรี คือ เด็กมีความต้องการเป็นตัวของตัวเอง เห็นว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตอันมีค่าในโลก และเพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จนชำนาญ ด้วยเหตุนี้ การตอบแทนด้วยรางวัลจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และอาจนำเด็กเหล่านี้ไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง และต้องขออนุญาตทุกๆ สิ่งทุกอย่าง แม้แต่การสานฝันของตัวเอง เลือกทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ เด็กๆ ในระบบมอนเตสซอรีจะสร้างระบบความคิดแบบตัวของตัวเอง และการค้นพบตัวเอง โดยใช้ความคิดของตนในการตัดสินว่าสิ่งใดถูกหรือผิด

 5. อิสรเสรีภาพแบบมีขีดจำกัด   แม้เด็กๆ ในระบบมอนเตสซอรีจะมีความสุขกับอิสรเสรีภาพในการเลือกสิ่งต่างๆ แต่อิสรเสรีภาพนั้นๆ ควรมีขอบเขตที่จำกัดบ้าง โดยต้องจำกัดอย่างระมัดระวังและยังอยู่บนพื้นฐานของพฤฒิกรรมของเด็ก เด็กมีอิสระที่จะทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง และอยู่ในระเบียบของสังคม แต่ควรต้องนำทางเด็กบ้างหากออกนอกลู่นอกทางมากเกินไป

  6. การเรียนรู้ด้วยวินัยของตัวเอง   ในระบบการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี เด็กมิได้เรียนเพื่อให้ได้คะแนนหรือรางวัลใดๆ หรือมิได้ทำกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายเพื่อเพียงให้เสร็จสิ้น เด็กๆ เรียนรู้เพราะเกิดจากความสนใจและความต้องการเรียนรู้ เพื่อให้ตนเป็นบุคคลที่มีคุณค่า และเป็นตัวของตัวเอง

ลักษณะการเรียนการสอน
 ส่งเสริมการเรียนด้วยตนเองของเด็ก  เน้นให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเองดยสภาพของโรงเรียนจัดสิ่งแวดล้อมให้เสมือนบ้าน มีห้องต่างๆ ที่บ้านควรมี เช่น ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น มีห้องโถงใหญ่ที่จัดมุมการเรียนรู้ไว้ตอบสนองความต้องการของเด็ก 

หลักการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่

1. เด็กจะต้องได้รับการยอมรับนับถือ
เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ควรจัดการศึกษาให้เด็กแต่ละคนตามความสามารถและความต้องการโดยพัฒนาการสอนให้สัมพันธ์กับ  พัฒนาการความต้องการของเด็ก
2. เด็กมีจิตใจซึบซับได้
  เปรียบจิตของเด็กเหมือนฟองน้ำ ซึ่งจะซึมซาบข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม เด็กใช้จิตในการหาความรู้ ในการพัฒนาของจิตที่ซึมซาบได้มีทั้งระดับที่เราทำไปโดยที่รู้สึกตัว และโดยไม่รู้สึกตัว อายุตั้งแต่เกิดถึง 3 ขวบ เป็นช่วงที่จิตซึมซาบโดยไร้ความรู้สึก โดยการพัฒนาประสาทที่ใช้ในการเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การดมกลิ่น และการสัมผัส เด็กจะซึมซาบทุกสิ่งทุกอย่าง
3. ช่วงเวลาหลักของชีวิต 
สำหรับการเรียนรู้ในระยะแรกเป็นช่วงพัฒนาสติปัญญา และเด็กสามารถเรียนทักษะเฉพาะอย่างได้ดี ครูจะต้องสังเกตและใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ในการจัดการเรียนการสอนให้สมบูรณ์ที่สุด
4. การเตรียมสิ่งแวดล้อม 
มอนเตสซอรี่เชื่อว่า เด็กเรียนได้ดีที่สุดในสภาพการจัดสิ่งแวดล้อมที่ได้ตระเตรียมเอาไว้อย่างมีจุดหมาย การจัดเช่นนี้เพื่อให้เด็กได้มีอิสระจากการควบคุมเด็กจะได้ทำกิจกรรมต่างๆ ตามความคิดของตนเองบ้าง
5. การศึกษาด้วยตนเอง
 เด็กมีอิสระในสิ่งแวดล้อมที่จัดเตรียมไว้ มอนเตสซอรี่กล่าวว่า เด็กมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ระเบียบวินัยของชีวิตโดยการมีอิสรภาพในการทำงานด้วยตนเอง แก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง

การเรียนการสอนมอนเตสซอรี่มีประโยชน์อย่างไร ?


- เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ตนเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเข้าใจตนเองในการเลือกวิธีการเรียนรู้ เป็นผู้ใฝ่รู้
- เด็กสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดีเพราะหลักสูตรมอนเตสซอรี่ออกแบบโดยการเลียนแบบชีวิตจริง
-  เด็กเรียนด้วยความสุข มีสมาธิจากการทำงานเพราะเป็นจัดการเล่นปนเรียนสอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก

- เด็กได้เข้าสังคมกับเพื่อนเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกัน ให้ความช่วยเหลือกัน เพราะการเรียนแบบจัดกลุ่มเด็กหลายอายุ รวมกลุ่มกัน

- การเรียนที่มุ่งให้เด็กทำกิจกรรมจนสำเร็จด้วยตนเองไม่มีการแข่งขันเปรียบเทียบเด็กจะรู้สึกท้าทายตนเอง
- เด็กจะเจริญเติบโตตามธรรมชาติเพราะการสอนแบบมอนเตสซอรี่ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาหลักของชีวิต การเจริญเติบโตทั้งทางสติปัญญาและจิตใจได้รับพลังอย่างเหมาะสมเกิดทักษะได้อย่างดี เช่น การเรียนรู้ภาษา การนับ การจัดของอย่างมีระเบียบ การขึ้นลงบันได เป็นต้น
- เด็กมีบุคลิกภาพที่ดี คือ เป็นผู้กล้าคิดและตัดสินใจด้วยตนเอง รู้จักการแก้ปัญหารับผิดชอบรู้จักเข้าสังคม มีทัศนคติเชิงบวก และมีสติปัญญาเหมาะสมตามวัย







ภาษาธรรมชาติ

การสอนภาษาธรรมชาติ
คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย 
โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน หรือเขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เช่น อ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังนิทานที่ครูหรือเพื่อนเล่า เขียนคำที่ตนสนใจจากเรื่องที่ได้อ่านหรือได้ฟัง
เกิดจากหลักการและแนวคิดของนักวิจัยทางภาษา  Jean Piaget 
ที่เชื่อว่า การที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัวจะเป็นการคิด
สร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ  มิใช่การรับเข้าไปเฉยๆ 
การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลของสังคมและผู้อื่น จึงเน้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ ซึ่งการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับภาพ เสียงกับตัวอักษร 

ลักษณะการสอน
เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ และร่วมมือจัดการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างเด็กกับครู และการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น
 ผู้ใหญ่เป็นนักอ่านที่ดีให้เด็กเห็นเป็นแบบอย่างและผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้เด็กฟังให้เด็กมีโอกาส
ซึมซับภาษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ภาษา
  เด็กสามารถเกิดประสบการณ์ทางภาษาได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ดังนั้น การที่เด็กมาโรงเรียน เขาได้รู้ ได้เห็นสัญลักษณ์ทางภาษารอบตัว และการที่เด็กได้ยิน ได้ฟัง ได้สนทนาโต้ตอบ ก็ถือเป็นการใช้ภาษา
 เมื่อเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีภาษาหรือตัวหนังสือ มีมุมอ่าน/เขียน ป้ายประกาศต่างๆ มุมนิทานให้เด็กได้ใช้ภาษาพูด เล่าเรื่องราว ที่จะทำให้เด็กได้คุ้นเคยกับภาษา 

*การสอนภาษาธรรมชาติส่งผลต่อสมองของเด็ก การได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธี จึงทำให้เด็กมั่นใจในการสื่อสาร รักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและมีทัศนคติที่ดีกับภาษา ซึ่งเด็กตระหนักรู้ว่าภาษามีความหมายในชีวิตจากประสบการณ์ทางภาษาที่มีอยู่จริง เช่น ป้ายประกาศ นิทาน ฉลากกล่องใส่นมหรืออาหาร เป็นต้น

* การเสอนแบบภาษาธรรมชาติเป็นการสอนแบบบูรณาการ การฟัง พูด อ่าน เขียน หลักการแนวคิดมาจาก เพย์เจีย์ ที่เชื่อว่าเด็กได้เคลื่อนไหวสิ่งต่างๆรอบตัวเป็นการคิด




สารนิทัศน์ในระดับปฐมวัย


สารนิทัศน์หมายถึง  ส่วนสำคัญที่นำมาเป็นตัวอย่าง อาจเป็นผลงานของเด็ก  ภาพถ่าย  กิจกรรมของเด็ก บทสนทนาของเด็ก ที่แสดงให้ผู้อื่นเห็น หรือแสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต  พัฒนาการ  และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย จากการทำกิจกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล หรือเป็นรายกลุ่ม

กระบวนการจัดทำสารนิทัศน์ ตามแนวคิดของ พัชรี ผลโยธิน
การเตรียมความพร้อมในการจัดทำสารนิทัศน์  ขั้นแรก ของการจัดทำประกอบด้วย การรวบรวมวัสดุอุปกรณ์  กำหนดเป้าหมาย จุดมุ่งหมาย วางแผนการทำ และเตรียมเด็กให้มีส่วนร่วม
การจัดทำสารนิทัศน์  ขั้นที่สอง ประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูล โดยบันทึกข้อมูลจากการสังเกต ถ่ายภาพ  บันทึกและไตร่ตรองข้อมูล
การจัดแสดงสารนิทัศน์ ขั้นสุดท้าย คล้ายกับจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ จะต้องสร้างความสนใจ จัดวางให้เหมาะสมแก่ผู้ชม

สารนิทัศน์ประเภทที่ 1 
การบรรยายเรื่องราว หรือประสบการณ์
การเขียนเรื่องราวเหตุการณ์ การปฏิบัติกิจกรรมตามลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดเหตุการณ์ เพื่อบอกประโยชน์และเรื่องราวที่ได้จากการทำกิจกรรมหรือกิจวัตรประจำวันที่โรงเรียน

ตัวอย่าง

เด็กๆและคุณครูร่วมกันประกอบอาหาร “ไก่ป๊อบ” ในหน่วย เรื่อง อาหารดีมีประโยชน์ เด็กแต่ละคนอาสานำส่วนผสมต่างๆมาคนละหนึ่งชนิด เด็กๆลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนที่คุณครูสาธิตให้ดูในตอนแรก  เด็กๆสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนได้ถูกต้อง เด็กได้เห็นความแตกต่างอาหารก่อนและหลังสุกเป็นอย่างไร เด็กๆ เรียนรู้ผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์ เข้าใจการทำงานและช่วยเหลือผู้อื่น


สารนิทัศน์ประเภทที่ 2 
การสังเกตพัฒนาการเด็ก
 เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลตัวอย่างเด็กอย่างไม่เป็นทางการ    ใช้วิธีการนี้รวบรวมพัฒนาการของเด็กทุกด้าน การสังเกตต้องใช้หูและตาเป็นเครื่องมือสำคัญ ควรมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน มีแบบบันทึกการสังเกต เพื่อนำข้อมูลไปประเมินและช่วยพัฒนาเด็กในแต่ละด้าน

ตัวอย่าง
ชื่อ    :   น้องต้นน้ำ
   สถานที่  :   สระน้ำในร.ร
   เวลา       :   9:25 น.
   กิจกรรม :   เล่นกลางแจ้ง
พฤติกรรม 
           น้องต้นน้ำยืนพูดคุยกับเพื่อนที่ขอบสระน้ำ  น้องและเพื่อนใช้มือตีน้ำและสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น น้องพูดกับเพื่อนว่า “น้ำเย็นจัง มีคลื่นเหมือนทะเลเลย มีรูปมือเป็นหยักลอยอยู่ในน้ำด้วย  เห็นไหม”
ข้อสังเกตจากการบันทึก
 จากพฤติกรรมที่คุณครูบันทึก  สามารถประเมินผลพัฒนาการของเด็กได้ว่า  น้องสามารถสังเกตและเปรียบเทียบเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับสิ่งที่กำลังเรียนรู้  และถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับฟังได้  น้องได้พัฒนาทักษะทางภาษาจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อน


สารนิทัศน์ประเภทที่ 3 
 แฟ้มสะสมงาน (Portfolio)
เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคล หรือ อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ช่วยให้เห็นพัฒนาการและความก้าวหน้าต่างๆของเด็ก เป็นวิธีการที่เหมาะในการวัดและประเมินเด็กในลักษณะการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นสำคัญและนึกถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสำคัญ
ตัวอย่าง
ขั้นที่ 5 ตัด หยุด มีระดับความก้าวหน้าขึ้นสามารถตัดภาพจากนิตยสาร ตัดตามโครงร่างของภาพได้ สามารถควบคุมการตัดได้อย่างคล่องแคล่ว


สารนิทัศน์ประเภทที่ 4 
ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม
ผลงานรายบุคคล  การนำผลงานของเด็กในการทำกิจกรรมมาจัดเก็บ เพื่อแสดงให้เห็นกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาการของเด็กรายบุคคลโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
ผลงานรายกลุ่ม การนำเสนอผลงานของเด็กเป็นกลุ่มมาจัดเก็บ หรือ ถ่ายทอดสู่ผู้อื่น ทำให้เด็กได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม มีการบ่างหน้าที่ ความรับผิกชอบ ระดมสมอง แลกเปลี่ยนความคิด พึ่งพาการโดยคำนึงถึงส่วนรวม

ตัวอย่างผลงานรายบุคคล วาดภาพประกอบการบรรยาย

โดยเด็กๆจะเป็นคนคอย คัดลอกคำ ตามตัวอย่างที่คุณครูเขียนให้ลงสู่ผลงาน
รายบุคคลได้ด้วยตนเอง
ตัวอย่างผลงานรายกลุ่มย่อย  สร้างบล็อก

คุณครูควรมีพื้นฐานทฤษฎีการเล่นบล็อกและสามารถบันทึกขั้นพัฒนาการให้ถูกต้อง
ขั้นที่ 7 ให้ชื่อสิ่งที่สร้างและเล่นบทบาทสมมติ


สารนิทัศน์ประเภทที่ 5 
การสะท้อนตนเอง
การแสดงความคิดเห็น ความรู้ความเข้าใจ  ความรู้สึกของผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดประสบการณ์และกิจกรรม ประกอบด้วย เด็ก คุณครู และผู้ปกครอง โดยมีการสะท้อนตนเองของบุคคลทั้ง 3 กลุ่ม
หลักฐานการสะท้อนตนเองของเด็ก
หลักฐานการสะท้อนตนเองของคุณครู
หลักฐานการสะท้อนตนเองของผู้ปกครอง

ตัวอย่างการสะท้อนตนเองของเด็กการจากเรียนโครงการ พัดลม

ดานิจชอบกิจกรรมปิดนิทรรศการ
โปรเจคมากครับ ดานิจ เป็นพิธีกรพูดปิดโปรเจคและดานิจก็พูดแผ่นประเภทพัดลมครับ พัดลมมีเยอะมาก 3 ประเภทคือ พัดลมตั้งโต๊ะ พัดลมตั้งพื้น พัดลมคิดผนัง ที่บ้าน ดานิจมี พัดลมเยอะพัดลมที่ชอบมากที่สุด คือพักลมตั้งโต๊ะ ดานิจชอบกิจกรรมปิด
โปรเจคเพราะว่ามะห์ มาดูดานิจพูดด้วยและดานิจก็เดินแบบโชว์เสื้อพัดลมที่เพ้นท์เองด้วยครัย
น้องดานิจ
อ้างอิง
หนังสือ 
การจัดทำ สารนิทัศน์ในระดับปฐมวัย
เขียน รศ.ดร. พัชรี ผลโยธิน
    ดร.วรนาท รักสกุลไทย และ คณะครูอนุบาล โรงเรียนเกษมพิทยา






แฟ้มสะสม
ผลงาน(Portfolio)

เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ช่วยให้เห็นความก้าวหน้าทางพัฒนาการด้านต่างๆและความสำเร็จของเด็ก การจัดเก็บรวบรวมข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้มีโอกาสสะท้อนความคิด ความพยายาม และแสดงศักยภาพของตนเองไดอย่างสมบูรณ์

จุดประสงค์แฟ้มสะสมผลงาน
1. เห็นคุณภาพของงานและการคิดของเด็ก
2. แสดงความก้าวหน้าของเด็กในเวลาที่ล่วงไป
3. ประเมินงานของเด็กแต่ละคน
4. สะท้อนประสบการณ์ที่เด็กได้รับ
5. ให้โอกาสสะท้อนสิ่งที่คาดหวังในงานของเด็ก
6. ให้ข้อมูลที่สำคัญที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าของเด็ก และกิจกรรมที่ทำแก่เด็กคุณครู ครอบครัว ผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องในการตัดสินใจ

องค์ประกอบแฟ้มสะสมผลงาน
ส่วนปก >>ปกนอกและปกใน
ส่วนนำ >>  คำนำ ข้อมูลผู้เรียน สารบัญ 
ส่วนเนื้อหา>> เป็นส่วนรวบรวมหลักฐาน ผลงาน เอกสารต่างๆที่แสดงถึงความรู้ ทักษะ และเจตคติของผู้เรียนส่วนข้อมูลเพิ่มเติมหรือภาคผนวก ปฏิทินปฏิบัติงานในการเก็บผลงานแผนการสะสมผลงาน ข้อมูลจากการสังเกต>>  การสัมภาษณ์  และแบบประเมินอื่นๆ

วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในแฟ้มสะสมผลงาน
            การสังเกต
     เป็นวิธีการที่ใช้มากที่สุดในการศึกษาเด็กแบ่งออกเป็นการสังเกต
อย่างมีระบบ ได้แก่ สังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมายแน่นอน  ตามแผน
การสังเกตแบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ สังเกตขณะเด็กทำกิจกรรมประจำวัน
          เมื่อเกิดพฤติกรรมที่ไม่คาดคิด ครูก็จดบันทึกไว้
        การบันทึก
     มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำสม่ำเสมอ
การสนทนา
ใช้การสนทนาได้ทั้งรายกลุ่มหรือรายบุคคลเพื่อประเมินความสามารถในการแสดงความคิดเห็นและด้านภาษาและบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมหรือรายวัน
การสัมภาษณ์
 เป็นการพูดคุยกับเด็กรายบุคคล สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม คำถามเข้าใจง่าย

การจัดทำแฟ้มสะสมผลงานภาพถ่าย
- ใช้วิธีถ่ายภาพด้วยกฎสามส่วน แบ่งภาพออกเป็นสามส่วนเท่าๆกัน
- ควรถ่ายภาพเด็กเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มเล็กมากกว่ากลุ่มใหญ่
- ถ่ายภาพในมุมต่างกัน
- ถ่ายภาพต่อเนื่องเป็นชุด ขณะเด็กกำลังแก้ปัญหา

อ้างอิง
หนังสือ 
การจัดทำ สารนิทัศน์ในระดับปฐมวัย
เขียน รศ.ดร. พัชรี ผลโยธิน
    ดร.วรนาท รักสกุลไทย และ คณะครูอนุบาล โรงเรียนเกษมพิทยา




วอลดอร์ฟ (Waldorf)

การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีที่มาอย่างไร?
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โรงเรียนแห่งแรกตั้งขึ้นโดยการสนับสนุนของ เอมิล มอลล์ (Emil Molt) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงงานยาสูบวอลดอร์ฟ แอสโทเรียล ที่สตุทการ์ท ประเทศเยอรมัน ถึงแม้จะทำงานด้านอุตสาหกรรม แต่เขาก็เห็นด้วยกับความคิดด้านมนุษยปรัชญาของ ดร. รูดอร์ฟ สไตเนอร์ และต้องการเปลี่ยนทิศทางของสังคมในเวลานั้น เขาได้เชิญรูดอร์ฟ สไตเนอร์ไปบรรยายแนวคิดด้านมนุษยปรัชญาให้คนงานในโรงงานฟัง จึงเกิดกลุ่มคนที่มีความเห็นร่วมกันว่า หากจะให้ความคิดเช่นนี้เป็นจริงได้ ต้องให้เกิดขึ้นในคนรุ่นหลัง เขาจึงจัดตั้งโรงเรียนขึ้นในโรงงาน ชื่อโรงเรียนวอลดอร์ฟ ดำเนินการสอนลูกหลานของคนงาน ตั้งแต่ปีค.ศ. 1919 เป็นการศึกษาระดับประถม ซึ่งต่อมาภายหลัง ได้ขยายแนวคิดมาในระดับอนุบาล จนบัดนี้กว่า 90 ปีแล้ว การศึกษาวอลดอร์ฟ ทั้งระดับประถมและอนุบาลได้แผ่ขยายไปทั่วโลก

การศึกษาแนววอลดอร์ฟคืออะไร?
นวัตกรรมการศึกษาแนววอลดอร์ฟมีรากฐานมาจากมนุษยปรัชญา (Anthroposophy)โดย ดร.รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner 1861-1925) ได้นำมาจัดการศึกษาในโรงเรียนที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยการพัฒนากาย (Body) จิต (Soul) และจิตวิญญาณ (Spirit)ให้บรรลุถึง ความดี (Good) ความงาม (Beauty) ความจริง (Truth)
แนวคิดของมนุษยปรัชญาที่เป็นรากฐานสำคัญในการจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ เชื่อว่า เมื่อมองดูการเกิดและเติบโตของเด็กคนหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่า กาย (Body) เป็นส่วนที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้ในโลก ส่วนจิตวิญญาณ (spirit) เป็นจิตเดิมแท้ของเด็กเองที่ มาจากโลกเบื้องบน และเชื่อมโยงกันด้วยวิญญาณ (Soul) พ่อแม่และครูมีส่วนช่วยให้การเชื่อมโยงนี้เป็นไปอย่างราบรื่นกลม กลืน ความสำคัญของครูในอนุบาลวอลดอร์ฟ จึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจ “เด็กตามธรรมชาติ” (Natural Childhood) และภาวะกึ่งฝัน (Dreamy stated) ที่มีอยู่ในวัยเด็ก การศึกษาจึงเสมือนการทำหน้าที่ปลุกให้เด็กค่อยๆตื่นขึ้นมาในโลก หาวิธีเชื่อมโยงเด็กสู่โลกที่เขาได้ลงมาเกิด ครูยังต้องใส่ใจในการเตรียมสิ่งแวดล้อม สถานที่ อาคาร ห้องเรียน บริเวณสวน ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ และของเล่นที่เด็กเล่น ให้เด็กสามารถเชื่อมโยงที่มาที่ไปในธรรมชาติได้ ตลอดจนพลังธรรมชาติของโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ครูได้นำมาประสานในกิจกรรมต่างๆในอนุบาลวอลดอร์ฟอย่างมีศิลปะ เพื่อให้เด็กได้เข้าถึงธรรมชาติอันแท้จริงของโลก และแบ่งขั้นพัฒนาการของเด็ก ดังนี้
0-7 ปี  กาย (Body) พัฒนาผ่านพลัง เจตจำนง (Will) การมุ่งมั่นลงมือทำให้สำเร็จ
7-14 ปี จิต (Soul) พัฒนาผ่านความรู้สึก (Feeling) เข้าถึงความงาม และศิลปะแบบต่างๆ
14-21 ปี จิตวิญญาณ (Spirit) พัฒนาผ่านความคิด (Thinking) การตระหนักรู้ ในคุณธรรม ความดี

ครูอนุบาลต้องให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับอายุและความสามารถตามวัยของเด็ก ให้เกิดความสม ดุลกัน เกณฑ์อายุของระดับอนุบาลวอลดอร์ฟ คือ ก่อน 7 ขวบ หรือก่อนฟันแท้จะขึ้น มนุษยปรัชญายังได้เผยภาพลักษณ์ของมนุษย์อันประกอบไปด้วย กาย 4 กาย ได้แก่ ร่างกาย กายพลังชีวิต กายความรู้สึก กายตัวตน ถึงแม้ว่ากายทั้ง 4 จะมาพร้อมกันเมื่อคนเราเกิดมาในโลก แต่ก็ค่อยๆเผยออกมาทีละกายทุกๆรอบ 7 ปี จนเด็กอายุ 21 ปี จึงมีกายทั้ง 4 ครบสมบูรณ์ หากในระหว่างนั้น มีการสนับสนุนทางการศึกษาอย่างถูกต้องเหมาะสมแก่เด็ก จะยิ่งเป็นประ โยชน์ต่อการพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
  ในระดับอนุบาล เป็นขั้นตอนที่กำลังสร้างร่างกายและบ่มเพาะกายพลังชีวิต การศึกษาสำหรับเด็กอนุบาล ควรส่งเสริมพลังเจตจำนง (Will) ของเด็กและการรักษาจังหวะในชีวิตประจำวัน (Rhythm of life) ของเด็กให้มีความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ มนุษย์ยังรับรู้โลกผ่านสัมผัส ทั้ง 12 แต่ในระดับอนุบาล เด็กๆรับรู้ด้วยสัมผัส 4 อย่างขั้นพื้นฐาน ดังนี้
1.สัมผัสรู้ที่ผิวกาย (Touch)
2.สัมผัสรู้พลังชีวิต (Life)
3.สัมผัสรู้การเคลื่อนไหว (Movement)
4.สัมผัสรู้ความสมดุล (Balance)

การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีลักษณะอย่างไร?
1.ความเข้าใจของครูผู้สอน
การศึกษาวอลดอร์ฟมีจุดเน้นที่ “ครู” คือมีการจัดทำคอร์สฝึกหัดครูในแนวทางวอลดอร์ฟ (Waldorf Early Childhood teacher training) อยู่อย่างต่อเนื่อง ครูและผู้ปกครองที่สนใจสามารถลงคอร์สเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลเด็กทุกฝ่าย มีโอกาสพัฒนาตนให้มีความรู้ความสามารถตามแนวทางของมนุษยปรัชญา เข้าใจธรรมชาติมนุษย์และธรรมชาติวัยเด็ก ทักษะศิลปะของครูผู้สอน

2.ทักษะศิลปะของครูผู้สอน
การศึกษาแนววอลดอร์ฟฝึกฝนทักษะชีวิตโดยเฉพาะด้านศิลปะ ความเข้าใจเรื่องสี ฝึกหัดการวาดภาพระบายสี งานปั้น งานหัตถกรรมเย็บปักถักทอ การจัดดอกไม้ ตลอดจนงานในชีวิตประวัน เช่น งานบ้าน งานครัว งานสวน ฯลฯ เพื่อขัดเกลายก ระดับจิตใจตนเองไปสู่ความละเอียดประณีต บรรลุสู่คุณธรรม ความดี ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อการงานและชีวิตของตนเอง ในการทำงานของครูที่เพิ่งทำงานใหม่ ยังต้องทำงานร่วมกับครูที่มีความชำนาญสักระยะ เพื่อเรียนรู้จากชีวิตการทำงานของครูรุ่นพี่ จนมีประสบการณ์เพียงพอที่จะทำงานได้อย่างมั่นใจในตัวเอง

3.การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
*หลักสูตรและกิจกรรม จัดให้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้ง 3 มิติ คือ
รอบปี (ฤดู เทศกาล วัฒนธรรม)
รอบสัปดาห์ (วิถีชีวิตของคนในชุมชน สังคม ครอบครัว)
รอบวัน (จังหวะชีวิตในหนึ่งวัน)

4.การจัดสภาพแวดล้อม
การจัดห้องอนุบาล มีลักษณะเป็น “อนุบาลแบบบ้าน” โดยมีครูเสมือนแม่ การจัดสภาพแวดล้อมภายในเช่นเดียวกับบ้านหนึ่งหลังที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งห้องครัว ห้องนอน ห้องนั่งเล่น จัดให้มีความสวยงามและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิต ประจำวัน โดยครูจะนำทักษะด้านศิลปะมาจัดห้องเรียนให้อบอุ่นน่าอยู่ เช่น นำผ้าย้อมสีธรรมชาติมาตกแต่งในห้องเรียน จัดมุมฤดูกาลด้วยตุ๊กตาผ้าและวัสดุจากธรรมชาติ รวมทั้งอุปกรณ์และของเล่นเด็กก็มาจากวัสดุในธรรมชาติด้วย




High Scope

ไฮสโคป
 เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบ              
ลงมือทำ ผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ 

ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบไฮสโคป 
ของเพียเจต์ (Piaget) เป็นพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียนซึ่งเน้น การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) เพราะเด็กจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทำให้เกิดความคิด  ความรู้  ความเข้าใจ และรู้จักลงมือแก้ปัญหาด้วยตนอง
ระยะต่อมามีการผสมผสานทฤษฎี และแนวคิดอื่นๆ เช่น ทฤษฎีของอีริกสัน (Erikson)   ในเรื่องการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่างๆ อย่างอิสระและทฤษฎีของไวก๊อตสกี้ (Vygotsky) ในเรื่อง ปฏิสัมพันธ์และการใช้ภาษา 


การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก  (Adult-Child Interaction)
การเรียนรู้แบบลงมือกระทํานั้นจะประสบความสําเร็จได้  เมื่อผู้ใหญ่และเด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  ไฮสโคปจึงเน้นให้ผู้ใหญ่สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัยให้แก่เด็ก 

สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment)
1. พื้นที่ 
ต้องมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม เพื่อให้เอื้อต่อการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนแบบร่วมมือกระทำ
2. วัสดุอุปกรณ์
 สื่อการเรียนและอุปกรณ์ต้องมีมากพอและหลากหลาย
3. การจัดเก็บ 
เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรการค้นหา-ใช้-เก็บคืน

กิจวัตรประจำวัน


 การวางแผน (Plan) 
เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติ หรือการดำเนินงานตามงานที่ได้รับมอบหมายหรือสิ่งที่สนใจด้วยการสนทนาร่วมกันระหว่างครูกับเด็ก และเด็กกับเด็ก ว่าจะทำอะไร อย่างไร การวางแผนกิจกรรมนี้เด็กอาจแสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็กหรือบอกให้ครูบันทึก เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจ
2. การปฏิบัติ (Do) 
คือ การลงมือทำกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด แก้ปัญหา ตัดสินใจ และทำงานด้วยตนเอง หรือร่วมกับเพื่อนอย่างอิสระตามเวลาที่กำหนดโดย มีครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือในจังหวะที่เหมาะสม เป็นส่วนที่เด็กได้มีการพัฒนาการพูดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง
3. การทบทวน (Review)
เด็ก ๆ จะเล่าถึงผลงานที่ตนเองได้ลงมือทำเพื่อทบทวนว่าตนเองนั้นได้ปฏิบัติงานตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร การทบทวนจุดประสงค์ที่แท้จริงคือ ต้องการให้เด็กได้เชื่อมโยงแผนการปฏิบัติงานกับผลงานที่ทำ รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่าง

การประเมินพัฒนาการ (Assessment)
โปรแกรมไฮสโคป การประเมินถือเป็นงานโดยตรงของครูที่จะต้องตั้งใจปฏิบัติและเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ครูไฮสโคปจะทํางานร่วมกันเป็นคณะ ในแต่ละวันครูทุกคนจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก ข้อมูลนี้ได้จากการสังเกตและการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กในกิจวัตรประจําวัน 

รายการสังเกตใน COR มี 6 รายการ ตามประสบการณ์สำคัญในไฮสโคป 
1. การริเริ่ม (Initiative)
 2. ความสัมพันธ์ทางสังคม (Social Relations)
 3. การนําเสนออย่างสร้างสรรค์ (Creative Representation)
 4. ดนตรีและการเคลื่อนไหว (Music and Movement)
 5. ภาษาและการรู้หนังสือ (Language and Literacy)
 6. ตรรกและคณิตศาสตร์ (logic and Mathematics)

ตัวอย่างแบบสังเกตบันทึกพฤติกรรมเด็กแบบ COR

ประโยชน์ของแนวการสอนไฮสโคป (High Scope)
1. สอนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น ซึ่งเริ่มต้นจากความไว้วางใจ
2. การลงมือทำงานฝึกให้เด็กวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน เป็นระบบ
3. เด็กได้ฝึกสมาธิทำให้เด็กเกิดปัญญา ฝึกความมีระเบียบวินัย  ฝึกการคิดอย่างมีความหมาย






คำศัพท์ ENG
ทักษะกลไก         Motor Education
 แฟ้มสะสมงาน      Portfolio
มนุษยปรัชญา       Anthroposophy
การริเริ่ม           Initiative
 ความสัมพันธ์ทางสังคม Social Relations
การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ Active Learning

การนำไปใช้
ได้เรียนรู้และทบทวนความรู้ทฤษฎีต่างๆ การเรียนการสอนต่างๆเพื่อที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนต่อไปอย่างถูกต้องแหละเหมาะสม

การประเมิน
ประเมินเพื่อน : เพื่อนส่วนใหญ่มาตรเวลา แต่งกายเรียบร้อย มีความพร้อมในการนำเสนองาน
ประเมินตนเอง : จดบันทึกสิ่งที่ได้ในชั้นเรียน แต่งกายเรียบร้อยมาตรงเวลา
ประเมินอาจารย์ : อาจารยืมีการชี้แนะแนะนำและเพิ่มเติมความรู้ให้นักศึกษาอยู่เสมอ













กิจวัตรประจำวัน